วิศวกรไทยกำลังวิกฤต
คนในวิชาชีพวิศวกรรมกำลังผจญมรสุมไม่น้อย
มีทั้งปัญหาภายในและภายนอก
โดยที่คนนอกวงการไม่รู้เรื่องแต่ถ้าถามคนในวงการต่างยอมรับว่ามันเกิดวิกฤต
ภาพลักษณ์จริงๆ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ตึกถล่ม ถนนทรุด สะพานพัง
รวมไปถึงงานก่อสร้างโปรเจกต์ใหญ่ๆที่มีข่าวใหญ่โต
ต่างก็พุ่งเป้าความผิดไปที่บรรดาวิศวกร
จนมีการเรียกร้องให้ยกมาตรฐาน
จัดระเบียบวิชาชีพวิศวกรขึ้นมาใหม่ เพราะเกรงว่า อนาคตวิศวกรไทยจะตกต่ำ
!?!? ต้นเหตุมาจาก คุณภาพของวิศวกรไทยไร้คุณภาพอย่างนั้นหรือ...?
วิศวกรเยอะ แต่...
“ตอนนี้วิศวะมีเยอะมาก เพราะมีการเปิดสอนกันมากขึ้น
จึงเกรงกันว่า ปัญหาด้านคุณภาพจะตามมา หากไม่มีการควบคุมคุณภาพการศึกษา
เพราะวิศวะสามารถสร้างชาติและทำลายชาติได้”รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (ว.ส.ท.)ให้ความเห็น
เขาจะพูดเสมอบนเวทีสัมมนาในเรื่องวิศวกรรม เพราะต้องการยกระดับคนประกอบวิชาชีพนี้ให้ทัดเทียมกับอารยะประเทศ
“คุณลองไปดูสิงคโปร์มีวิศวกรร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์
คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆออกมา มากกว่าคนไทยสิบเท่าตัว
ทั้งที่เรามีคนมากกว่า วิศวะต่อไปต้องเป็นนักคิด นักประดิษฐ์
ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดคุณค่ามากขึ้น
ซึ่งจะช่วยเหลือเศรษฐกิจในภาพรวมได้”เขาระบุ
หลายคนบอกว่า หากคุณไปเดินบนห้างสรรพสินค้าสักแห่ง
คุณจะเจอคนมีอาชีพเป็นวิศวกร คละไปกับคนอื่น
ขณะที่นักศึกษาด้านวิศวะก็จะพบเห็นได้ง่ายๆ ตามท้องถนน แตกต่างจากอดีตที่
ใครเรียนวิศวะ จนได้ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตจะถูกยกย่องว่า เป็นคนเก่ง
มีความรู้ความสามารถ และแถบจะเจอได้น้อยมาก
นักศึกษาวิศวะพุ่งพรวด
ขณะที่ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายงานปริมาณการผลิตวิศวกรของประเทศ
โดยสำรวจทั้งทางตรงและข้อมูลที่เผยแพร่จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจำนวน 75
แห่ง เป้นมหาวิทยาลัยของรัฐ 24 แห่ง และเอกชน 51 แห่ง พบว่า ขณะนี้
มีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะวิศวกรรมศาสตร์จำนวน 43 แห่ง ในช่วงปี 2541-2545
การผลิตวิศวกรค่อนข้างจะทรงตัวอยู่ที่ 13,500-14,000 คนต่อปี แต่พอถึงปี
2546 –2550 พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากประมาณการที่ 14,596 คนในปี 2546
เป็นจำนวน 20,360 คนในปี 2550 (ดูตาราง)
สำหรับสาขาที่เพิ่มระหว่างปี 2546-2550 มากที่สุดได้แก่
สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ 124% รองลงมาเป็น
สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและสาขาวิศวกรรมเครื่องกล 60%
นั่นเป็นการเรียนการสอนจากมหาวิทยาลัยที่พุ่งเป้าสอนด้านวิศวกรรมศาสตร์โดย
ตรงทั้งของรัฐและเอกชน โดยเฉพาะมหาสิทยาลัยเอกชน
ต่างก็เปิดสอนสาขาวิศวกรรมศาสตร์กันมากขึ้น
จึงทำให้ตัวเลขปริมาณการผลิตออกมาพุ่งทะยานสูงกว่าอดีตเมื่อ 5 ปีก่อน
จบคบช่างก็เป็นวิศวกรได้
ไม่เพียงแต่วิศวกรที่จบจากการศึกษามาโดยตรงเท่านั้น
แต่คุณสามารถจะพบเห็นคนที่ได้เป็นวิศวกร
โดยที่ไม่ต้องเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์เช่นกัน ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ
ว่ากันว่า ขณะนี้มีวิศวกรไทยกว่า 1.3 แสนคน
ในจำนวนนี้มีผู้จบคบ.หรือคุรุศาสตร์บัณฑิต ด้านช่างก็เป็นวิศวกรได้
นับหมื่นคนตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย สมัยพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นมท.1
ซึ่งช่วงนั้นเป็นเพราะวิศวกรไทยขาดแคลน
จึงได้อนุญาตให้ผู้ที่จบด้านคุรุศาสตร์บัณฑิตด้านช่างต่างๆสามารถที่จะเป็น
วิศวกรได้
แต่พอสภาวิศวกรเกิดขึ้นปี 2542
จึงได้ออกกฎระเบียบใหม่ให้ผู้ที่ต้องการได้ภาคีวิศวกรจะต้องสอบมาตรฐานจน
เกิดปัญหาฟ้องร้องกันขึ้นโดยกลุ่มคนจำนวนกว่า 800 คนได้ร้องศาลปกครอง
หลังจากที่สภาวิศวกรออกกฏระเบียบการให้ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุม ระดับภาคีวิศวกร ต้องสอบขอใบอนุญาตดังกล่าว
ซึ่งไปกระทบกับผู้สำเร็จการศึกษาด้านช่างที่ได้วุฒิคบ.แต่ไม่สามารถควบคุม
งานได้ ทั้งที่ก่อนหน้าสามารถทำได้ เพราะได้สิทธิเทียบเท่าวิศวกรที่เรียนจบ
วศ.บ.หรือวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต
ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะผู้ที่จบคบ.ได้แค่ภาคีพิเศษเท่านั้น
หมายถึงเป็นวิศวกรได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถควบคุมงานทั้งระบบได้
จะทำได้ก็เฉพาะงานที่ตนเองถนัดและมีความชำนาญเท่านั้น อาทิ
หากใครได้ภาคีพิเศษด้านก่อสร้างบ้านก็ได้คุมงานเฉพาะก่อสร้างบ้านเท่านั้น
ไม่สามารถจะไปคุมก่อสร้างอาคารสูงได้ เรียกว่าทำได้จำกัด
หากต้องการวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมก็ต้องไปสอบให้ได้ภาคีวิศวกร
เมื่อสภาวิศวกรออกกฎระเบียบดังกล่าว โดยอ้างว่า
เป็นไปตามพ.ร.บ.สภาวิศวกร ปี 2542 แต่ปรากฏว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พ.ค.48
ศาลปกครองได้วินิจฉัยแล้วว่า การออกกฎของสภาวิศวกรไม่ถูกต้อง
จึงทำให้สภาวิศวกรยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครอง
ว่ากันว่า
การประกาศของกระทรวงมหาดไทยสมัยเสธ.หนั่นยังไม่ได้ยกเลิกจึงอาจเป็นเหตุผล
หนึ่งที่ทำให้สภาวิศวกรแพ้ก็เป็นได้
และการที่อยู่ๆก็ให้มีการสอบอาจจะถูกมองว่าเป้นการเลือกปฎิบัติ
เพราะรุ่นก่อนๆไม่ต้องสอบ แต่ก็สามารถได้รับอนุญาต
จากการสอบถามไปยัง ประสงค์ ธาราไชย เลขาธิการ สภาวิศวกร
ในเรื่องดังกล่าว เขาระบุว่า
เป็นเรื่องจริงที่สภาวิศวกรออกมาตรฐานการสอบเพื่อออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบ
วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ระดับ ภาคีวิศวกร โดยเขาให้เหตุผลว่า
เพื่อต้องการควบคุมคุณภาพวิศวกรและยกมาตรฐานวิชาชีพวิศวกร
เพราะต้องรับผิดชอบต่อสังคม ผู้บริโภค อันเป็นไปตามกฎหมายในพ.ร.บ.สภาวิศวกร
ปี 2542
“การอุทธรณ์ของสภาวิศวกร เราได้ประกาศไว้แล้วว่า
เป็นการยื่นตามปกติ หลังจากที่อัยการสูงสุดให้คำแนะนำมา
คณะกรรมการสภาวิศวกรได้ประชุมวิสามัญ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2548
ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความถูกต้อง ยุติธรรม
โดยไม่มีการกีดกั้น หรือหวังผลแพ้ชนะแต่อย่างใด”
เขายังอธิบายอีกว่า การยกมาตรฐานวิศวกรเพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ เป็นหน้าที่ของสภาวิศวกร
“ทำยังไงเวลาไปทำงานให้ได้มาตรฐานไม่ให้เกิดผลเสียต่อสาธารณะ
ซึ่งปกติผู้ที่จบช่างมาก็สามารถทำงานวิศวกรรมได้ ทำได้ทุกอย่าง ใครก็ทำได้
ช่างเทคนิคก็ทำได้ หากมีประสบการณ์ เพราะไม่ต้องควบคุม
แต่ถ้าต้องการควบคุมก็ต้องไปสอบ”
นอกจากนี้แล้วแนวทางของสภาวิศวกรก็คือ
เน้นเรื่องจริยธรรมจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งมี 15 ข้อ
มีข้อหนึ่งที่ระบุว่า วิศวกรจะไม่ทำงานในด้านที่ตนเองไม่ชำนาญ
ผู้ที่ไม่ได้เรียนวิศวกรรมศาสตร์มาตั้งแต่ต้น
หรือเรียนมาแต่ไม่ใช่ด้านวิศวกรรมแต่มีประสบการมีความชำนาญ จะได้ ภาคีพิเศษ
หมายถึง มีความชำนาญเฉพาะเรื่อง
ขณะที่ภาคีวิศวกรจะเน้นการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่ครบสมบูรณ์
ซึ่งจะมีหลักวิชาการ ประสบการณ์และศาสตร์แขนงต่างๆที่สะสมมาตลอด 4-5 ปี
“แต่ทุกคนที่ต้องการภาคีวิศวกรจะต้องมาสอบ โดยไม่มียกเว้น”
แต่เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษาออกมาก็คงต้องรอดูต่อไปว่า การอุทธรณ์จะฟังขึ้นหรือไม่
สำหรับคอนเซ็ปท์ของสภาวิศวกร เลขาธิการฯบอกว่า มี 4 ข้อคือ
คุ้มครอง ควบคุม ส่งเสริมและบริการ ซึ่งในมาตรา 7 ระบุวัตถุประสงค์ไว้ 3
ประการคือ
1.ส่งเสริมการศึกษา-ประกอบอาชีพ
2.ความเจริญก้าวหน้าทางวิศวกรรม
3.ช่วยเหลือสังคม
Credit http://www.4wengineering.com